วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การเลี้ยงปลาหมึก

การเลี้ยงปลาหมึก

ปลาหมึก
ปลาหมึกเป็นสัตว์น้ำจำพวกหอย บางชนิดเป็นสัตว์หน้าดินบางชนิดเป็นสัตว์ที่หากินกลางน้ำ ปลาหมึกที่รับประทานได้มีหลายชนิด เช่น หมึกกล้วย (squid, Loligo formosana) หมึกกระดอง (squid , Loligo formosana) หมึกกระดอง (rainbow cuttle fish , Sepia pharaonis) หมึกหอม ( soft cuttle fish , Sepioteuthis lessoniana ) หมึกสาย
(Octopus spp.)
ปลาหมึกเป็นสัตว์นํ้าที่มีระบบรับความรู้สึกและระบบประสาทที่ค่อนข้าง สมบูรณ์ จึงเป็นที่สนใจของนักวทยาศาสตร์ สาขาสรีระวิทยา โดยเฉพาะหมึกสาย (Octopus ) เป็นสัตว์ทดลองที่ถูกซื้อเพื่อนำมาทดลองในห้องปฏิบัติการมากที่สุดในต่างประเทศ แต่เดิมชาวประมงเชื่อว่า ปลาหมึกเป็นสัตว์นํ้าที่เลี้ยงยาก เพราะมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพนํ้าต่างๆ เช่น อุณหภูมิ พีเอช ความขุ่น ออกซิเจนที่ละลายในนํ้า แต่ความจริงแล้ว ปลาหมึกนั้นเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่ายถ้าเลี้ยงในระบบปิด เพียงแต่อาหารเท่านั้นที่เป็นปัญหาในการเลี้ยง เพราะปลาหมึกส่วนใหญ่กินอาหารที่เคลี่อนไหว ยกเว้นหมึกกระดองที่สามารถฝึกให้กินปลาและกุ้งตายที่แช่แข็งได้
หมึกสายชนิด Octopus joubini เป็นหมึกขนาดเล็ก เมื่อนำมาเลี้ยงในห้อง ปฏิบัติการจะเติบโตเร็วมาก และสืบพันธุ์ได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วถึงปีละ 2 ครั้ง แม้ว่าในธรรมชาติมันจะสืบพันธุ์ปีละครั้งเดียวเท่านั้น อุณหภุมที่เหมาะสมในถังเลี้ยงปลาหมึก ประมาณ 25 องศาเซลเซียส ภายในถังจะต้องบรรจุเปลือกหอย และท่อต่างๆ ทำเป็นร่มเงาให้มันเข้าไปหลบซ่อนตัว ถ้าเลี้ยงปลาหมึก 2 เพศรวมกัน มันจะสืบพันธุ์ในตอนกลางคืน ตัวเมียจะวางไข่ที่ผสมแล้วเกาะติดกับวัตถุใต้น้ำ แล้วจะคอยเฝ้าดูแลไข่ โดยไม่ยอมกินอาหารจนกว่าไข่จะฟักเป็นตัว ซึ่งกินเวลาประมาณ 30-40 วัน ลูกปลาหมึกที่ฟักออกเป็นตัวแล้วจะมีลักษณะเหมือนพ่อแม่เพียงแต่ตัวเล็กกว่า ควรให้อาหารทันที อาหารที่ให้ควรเป็นพวกลูกกุ้ง ลูกปลาตัวเล็กๆ
Octopus bimaculoides เป็นปลาหมึกสายที่มีขนาดใหญ่ขึ้น สามารถนำ มาเลี้ยงในห้องปฏิบัติการได้ง่ายเช่นกันที่อุณหภูมิประมาณ 23°เซลเซียส อาหารที่ใช้เลี้ยงคือ ลูกกุ้ง ลูกไร มันจะเจริญเติบโตเร็วมากจากนํ้าหนักตัว 0.07 กรัม สามารถเลี้ยงให้โตถึง 0.6 กิโลกรัมได้ภายในเวลา 370 วัน
ปัญหาสำคัญในการเลี้ยงก็คือถ้าสามารถฝึกปลาหมึกสายพวกนี้ให้กินอาหารเม็ดหรืออาหารเนื้อสัตว์ที่หั่นเป็นชิ้นๆ หรือเนื้อสัตว์ที่ตายแล้วได้การเลี้ยงปลาหมึกคงจะพัฒนาไปไกลกว่านี้
การเลี้ยงหมึกกล้วย Loligo opalescens เริ่มด้วยการจับปลาหมึกที่มีคุณ ภาพดี ไม่มีรอยบาดเจ็บจากการจับมาเลี้ยงในถังนํ้าทะเลขนาดใหญ่หรือเลี้ยงในคอกที่อุณหภูมิ 12-20 องศาเซลเซียส ความเค็มประมาณ 35 ส่วนในพัน พีเอช 8 อาหารที่เลี้ยง ได้แก่ ลูกกุ้งและปลาที่ตัวเล็กกว่า ภายในเวลา 7 เดือนก็สามารถสืบพันธุ์ได้ เมื่อถึงเวลาสืบพันธุ์ควรแยกพ่อแม่พันธุ์ออกจากฝูงไปอยู่ต่างหากและให้แยกไข่ไปเลี้ยงไว้ในตะกร้าอนุบาลที่ลอยในถังนํ้าทะเล กินเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ที่อุณหภูมิ 16 องศาเซลเซียส เมื่อไข่ฟักเป็นตัวลูกปลาหมึกจะมีลักษณะคล้ายพ่อแม่ เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่า อัตราตายของลูกปลาหมึกจะมีมากตอนที่ถุงไข่แดงยุบและเริ่มจับอาหารกิน ควรให้อาหารพวกลูกกุ้ง ลูกไร ปัญหาก็คือลูกปลาหมึกจะเลือกอาหารและไม่กินอาร์ทีเมียซึ่งเป็นอาหารที่หาง่าย หมึกหอมที่ทดลองเลี้ยงในสถานทดลองสามารถโตได้ถึง 2.2 กิโลกรัม ภายในเวลา 4 1/2 เดือนเท่านั้น นับว่าเติบโตเร็วกว่าในสภาพธรรมชาติมาก
ประเทศญี่ปุ่นใช้ “ซั้ง” เพื่อล่อปลาหมึกให้มาวางไข่ครั้งละมากๆ ซั้งคือ อุปกรณ์ที่ล่อให้ปลามาหลบอาศัยหรือวางไข่ ซึ่งชาวฟิลลิปปินส์เรียกว่า “ปาเยา” (Payao) ชาวญี่ปุ่นนิยมนำต้นซุยเบะที่ตัดกิ่งมามัดรวมกันถ่วงด้วยก้อนหินไปทิ้งไว้ในทะเลที่มีระดับความลึก 7-10 เมตร ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 วันจะเริ่มมีปลาหมึกมาวางไข่
ซั้งในประเทศไทยที่ใช้ล่อปลาหมึกจะประกอบด้วยทุ่นไม้ไผ่ เชือกไนลอน ก้อนหิน มีทางมะพร้าวผูกติดกับเชือกห่างกันเป็นระยะๆ ที่ระดับความลึก 20-25 เมตร จากการสอบถามชาวประมงที่ใช้ซั้งล่อปลาหมึกให้มาวางไข่ ผลปรากฏว่า ปลาหมึกหอมชอบวางไข่ตามเชือกสายทุ่นตั้งแต่ระดับความลึก 1.5 เมตร ลงไปจนถึงก้อนหินก้นทะเลและบริเวณก้อนหินก้นทะเลนี้จะมีปลาหมึกกระดองชอบมาวางไข่

อ้างอิง www.เลี้ยงสัตว์.com/การเลี้ยงปลาหมึก/www.เลี้ยงสัตว์.com/การเลี้ยงปลาหมึก/

ดอกกุหลาบ ประวัติและความหมายของดอกกุหลาบ

ดอกกุหลาบ ประวัติและความหมายของดอกกุหลาบ


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับดอกกุหลาบ 


          กุหลาบนั้นมีชื่อสามัญว่า "Rose" ชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า "Rosa hybrids" และมีชื่อวงศ์ว่า"Rosaceae" ขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง ลักษณะของกุหลาบนั้นมีทั้งไม้พุ่มและไม้เลื้อย ลำต้นและกิ่งจะมีหนาม ส่วนดอกของกุหลาบจะมีทั้งดอกเดี่ยวและเป็นช่อ กลีบดอกมีลักษณะใหญ่ มีไม่ต่ำกว่า 5 กลีบ กุหลาบนั้นมีกลิ่นหอมชวนดม และมีหลายสี เช่น แดง ขาว เหลือง ชมพู ฯลฯ อีกทั้งยังมีหลายชนิดด้วย

          ซึ่งคำว่ากุหลาบนั้นมาจากคำว่า "คุล" ที่ในภาษาเปอร์เซียแปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" โดยในภาษาฮินดีก็มีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" ก็หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเราเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ" ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า"Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก


ดอกกุหลาบ

ดอกกุหลาบ


ประวัติดอกกุหลาบ 

 

           กุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกมาแต่โบราณ ว่ากันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อ 70 ล้านปีมาแล้ว และเคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแต่ก่อนกุหลาบนั้นเป็นกุหลาบป่าและมีรูปร่างไม่เหมือนในทุกวันนี้ แต่เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์จนขยายเป็นพันธุ์ต่าง ๆ มากมาย

          ตามประวัติศาสตร์เล่าว่ากุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรดิ์ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอกส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน เพราะชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมาก แม้ว่าจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังลงทุนสร้างสถานที่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย เพราะสำหรับชาวโรมันแล้วดอกกุหลาบนั้นมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวัน อีกทั้งชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก เป็นทั้งของขวัญ และเป็นดอกไม้สำหรับทำมาลัยต้อนรับแขก รวมถึงเป็นดอกไม้สำหรับงานฉลองต่าง ๆ แถมยังเป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ และยาได้อีกด้วย

          และเมื่อเอ่ยถึงดอกกุหลาบแล้ว หลาย ๆ คนก็คงจะนึกถึงเรื่องความรัก เพราะกุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความโรแมนติก โดยมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงามและความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม 

          แม้จะไม่มีการบันทึกอย่างชัดเจนว่าดอกกุหลาบนั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับบ้านเราตอนไหน แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้บันทึกไว้ว่าเห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ก็ได้มีการกล่าวถึงกุหลาบเอาไว้ และยังมีตำนานดอกกุหลาบของไทยที่เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา ในเรื่องเล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา" ซึ่งได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ" ซึ่งพระองค์ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" มาก แต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาปให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา

ความหมายดอกกุหลาบ

          โดยดอกกุหลาบนั้นสามารถสื่อความหมายได้หลายอย่าง อาทิ
ความหมายของดอกกุหลาบ

 สีกุหลาบสื่อความในใจ

           สีแดง สื่อความหมายถึง "รักคุณเข้าแล้ว" ความรักและความปรารถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ คิวปิด และอีรอส เป็นสิ่งนำโชคนำความรักมาให้แก่หญิงหรือชายที่ได้รับ

           สีชมพู สื่อความหมายถึง "ฉันจะรักและดูแลคุณตลอดไป" ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์

           สีขาว สื่อความหมายถึง "ฉันรักคุณด้วยความบริสุทธิ์ใจ" ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ มิตรภาพ และความสงบเงียบ และนำโชคมาให้แก่หญิงหรือชายเช่นเดียวกับกุหลาบแดง 

           สีเหลือง สื่อความหมายถึง "เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอนะ"

           สีส้ม สื่อความหมายถึง "ฉันรักคุณเหมือนเดิมนะ"

ดอกกุหลาบ
จำนวนกุหลาบสื่อความหมาย

          1 ดอก รักแรกพบ
          2 ดอก แสดงความรู้สึกที่ดีให้กัน
          3 ดอก ฉันรักเธอ
          7 ดอก คุณทำให้ฉันหลงเสน่ห์
          9 ดอก เราสองคนจะรักกันตลอดไป
          10 ดอก คุณเป็นคนที่ดีเลิศ
          11 ดอก คุณเป็นสมบัติชิ้นที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน
          12 ดอก ขอให้เธอเป็นคู่ของฉันเพียงคนเดียว
          13 ดอก เพื่อนแท้เสมอ
          15 ดอก ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ
          20 ดอก ฉันมีความจริงใจต่อเธอ
          21 ดอก ชีวิตนี้ฉันมอบเพื่อเธอ
          36 ดอก ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน
          40 ดอก ความรักของฉันเป็นรักแท้
          99 ดอก ฉันรักเธอจนวันตาย
          100 ดอก ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
          101 ดอก ฉันมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น
          108 ดอก คุณจะแต่งงานกับฉันไหม
          999 ดอก ฉันจะรักคุณจนวินาทีสุดท้าย
 ดอกกุหลาบ

ความหมายดอกกุหลาบ อื่น ๆ 

            กุหลาบแดงเข้ม (สีเหมือนไวน์แดง) "เธอช่างมีเสน่ห์งามเหลือเกิน"

            กุหลาบตูมสีแดง "ฉันเริ่มรักเธอแล้วจ้ะ"

            กุหลาบบานสีแดง "ฉันรักเธอเข้าแล้ว"

            กุหลาบสีแดงที่โรยแล้ว "ความรักของเรานั้นจบลงแล้ว"

            กุหลาบตูมสีขาว "เธอช่างไร้เดียงสาน่าทะนุถนอมเหลือเกิน ฉันรักเธอ"

            กุหลาบสีขาวที่โรยแล้ว "เสน่ห์ของเธอมันเริ่มลดน้อยถอยลงแล้วนะจ๊ะ"

           กุหลาบตูม สื่อความหมายถึง ความงามและความเยาว์วัย

          และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวที่น่าสนใจของดอกกุหลาบ 


อ้างอิง http://hilight.kapook.com/view/17583http://hilight.kapook.com/view/17583

วิธีการเลี้ยงหนูแฮมเตอร์


วิธีการเลี้ยงหนูแฮมเตอร์อาหารหลักที่ควรให้แฮมสเตอร์ คือ ธัญพืชโดยจะโปรยอาหารลงบนพื้นก็ได้เพราะแฮมสเตอร์ไม่มีนิสัยชอบก้มกิน มันจะชอบหยิบอหารออกมากินนอกภาชนะมากกว่า โดยใช้เท้าหน้าจับอาหารกิน แต่การใช้ภาชนะมีข้อดี คือจะทำให้เราได้รู้ว่ามันเอาอาหารออกไปกิน มากน้อยแค่ไหน ถ้ามันป่วยเราก็รู้ได้ นอกจากนี้ การใส่ภาชนะยังทำให้อาหารและขี้เลื่อยไม่ปะปนกันทำให้การเปลื่ยนขี้เลื่อยทำได้ง่ายโ
ยไม่ต้องทิ้งอาหารที่ปนกับขี้เลื่อย
สิ่งที่ควรทราบในการให้อาหารแฮมสเตอร์

1. อย่าให้ผักสด หรือผลไม้สดบ่อยๆหรือมากเกินไป การให้ผักสดควรให้แค่สัปดาห์ละครั้งเพราะอาจจะทำให้แฮมสเตอร์ท้องอืด หรือท้องเสียได้และหากมันกินไม่หมดควรจะเก็บทิ้งทันที

2. พยายามอย่าเปลื่ยนอาหารแบบทันทีทันใด ควรจะค่อยๆ เปลื่ยนอาหารโดยเอาอาหารเก่า ผสมกับอาหารใหม่ และเพิ่มอัตราส่วนอาหารใหม่ให้มากขึ้นเรื่อยๆ จนแทนที่อาหารเก่าในที่สุด อย่าเปลื่ยนแบบฉับพลัน

3. อาหารที่ควรหลีกเลื่ยงช็อคโกแลต โดยเฉพาะ Dark Chocolate เพราะมีสาร Theobromine ซึ่งเป็นพิษต่อแฮมสเตอร์ได้

4. หลีกเลื่ยงผักผลไม้ ที่มีรสเปรี้ยวๆ เช่น มะนาว ส้ม สับปะรด เป็นต้น

5. เราอาจจะเสริมโปรตีนให้กับแฮมสเตอร์ได้ โดยการให้อาหารเม็ดของแมวหรืออาหารสุนัขที่เป็น บิสกิต ใส่ลงไปได้บ้างเล็กน้อย ซึ่งช่วยเสริมโปรตีนและยังช่วยลับฟันแฮมสเตอร์ไม่ให้ยาวเกินไปอีกด้วย

6. อาหารที่ไม่ปลอดภัยสำหรับแฮมสเตอร์ ได้แก่ หัวหอม มันฝรั่งดิบ กระเทียม น้ำอัดลม ลูกกวาด เป็นต้น

7. หลีกเลี่ยงอาหารที่แหลมคม หรือ เหนียวหนืด

8. ขนมหรืออาหารหวานๆเพราะแฮมสเตอร์แคระมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานได้

9. หลีกเลี่ยง อาหารเม็ดของกระต่าย เพราะบางชนิดใส่สารอาหารบางอย่างที่ช่วยกระตุ้น การเจริญเติบโตในกระต่าย แต่เป็นอันตรายต่อแฮมสเตอร์

10. หลีกเลี่ยงผักผลไม้ที่มีกลิ่นฉุน เช่น กระเพรา

อาหารเสริมอื่นๆ

ไข่

หนูแฮมสเตอร์ชอบกินไข่ต้มที่ต้มสุก และไข่ต้มยังมีโปรตีนสูงอีกด้วยโดยเฉพาะในแม่แฮมสเตอร์ที่กำลังตั้งครรภ์ แต่ไม่ใช่ว่าให้ตลอด นานๆ ให้ทีถ้ากินไม่หมดต้องเก็บออกให้หมด

น้ำมันตับปลา

น้ำมันตับปลาจะอุดมไปด้วยวิตามิน A และ D ใช้โดยการหยดเพียงไม่กี่หยดลงบนเมล็ดพืชก็ได้สามารถให้ได้เพียงสัปดาห์ละครั้ง อาจจะให้อาหารเม็ด สำหรับสุนัขที่มีส่วนผสมของน้ำมันตับปลาก็ได้

เนื้อ

เรื่องการให้เนื้อเป็นอาหารแก่แฮมสเตอร์นั้น เป็นเรื่องที่ผู้เลี้ยงทั้งหลายต่อต้านกันมานาน เพราะเชื่อว่า อาหารประเภทเนื้อจะกระตุ้น ให้แฮมสเตอร์ดุร้าย แต่ก็มีรายงานจากผู้เลี้ยงหลายๆ คนซึ่งให้เนื้อเป็นอาหารเป็นประจำว่าไม่มีการก้าวร้าวผิดปรกติแต่อย่างใด โกยอาจจะให้เป็น เนื้อวัวชิ้นเล็กๆ หรืออาจจะให้อาหารสุนัขที่บรรจุกระป๋องก็ได้

นม

อาจจะให้ได้บ้าง โดยเฉพาะแม่หนูที่กำลังท้อง หรือ อาจจะให้เป็นนมอัดเม็ดก็ได้

อาหารนกผสม

สามารถจะให้อาหารเม็ด เช่น เมล็ดพืชสำหรับนกก็ได้โดยให้สัปดาห์ละครั้ง

การผสมพันธ์
แฮมสเตอร์เป็นสัตว์ที่มีอายุขัยสั้น มันจึงต้องแพร่พันธุ์เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ อย่าผสมข้ามพันธุ์แฮมสเตอร์หากท่านยังไม่พร้อม สำหรับชีวิตน้อน ๆ อีกหลาย ๆ ชีวิตที่กำลังจะเกิดขึ้นมา ท่านมีกรงให้พร้อมหรือไม่ท่านมีเวลาเพียงพอสำหรับมันหรือไม่

โปรดศึกษาแฮมสเตอร์ให้เข้าใจก่อนผสมพันธุ์ เพื่ิอให้ลูกที่เกิดออกมาแข็งแรงและไม่มีข้อบกพร่องทางพันธุ์กรรม

SYRAIN

Syrain เป็นแฮมสเตอร์ที่รักสันโดษ หากเราปล่อยให้ Syrainหลาย ๆ ตัวอยู่ด้วยกันมันมักจะกัดกัน ดังนั้นการจับคู่ Syrain เพื่อการผสมพันธุ์นั้น เราจำเป็นต้องระวังมาก ๆ

Syrain เพศเมีจะเป็นฮีทในทุกๆ 4 วัน ในการผสมพันธุ์ต้องเตรียมรังไว้ให้ก่อนโดยการใส่วัสดุปูพื้นใหม่ลงไป และหลังจากนั้นใส่วัสดุตัวผู้ลงไปก่อนและปล่อยให้ตัวผู้เดินไปมาและสร้างกลิ่นก่อนสั
พักหลังจากนั้นจึงค่อยใส่ตัวเมียลงไป หากตัวเมียต่อต้าน ไม่ยอมรับการผสมพันธุ์โดยการจู่โจมหรือการเข้าทำร้ายตัวผู้ ให้รีบแยกตัวตัวเมียออกก่อนที่จะมีตัวใดได้รับบาดเจ็บ ทั้งนี้หากแฮมสเตอร์ตัวเมียไม่ได้เป็นฮีท มันก็อาจจะไม่ยอมรับการผสมจากตัวผู้และอาจจะทำร้ายตัวผู้ได้

หลังจากนั้นอีก 2-3 วันให้ทดลองใหม่อีกครั้ง หากแฮมสเตอร์ตัวเมียเมื่อปล่อยลงไปแล้วยืนอยู่นิ่ง ๆ และเหยียดขาตรง ยกหางชี้ขึ้นแสดงว่าตัวเมียยอมรับการผสมพันธุ์ หลังจากนั้นปล่อยให้แฮมสเตอร์ผสมพันธุ์กันประมาณ 20 นาทีและแยกแฮมสเตอร์ออกจากกัน เพราะหากปล่อยตัวผู้ไว้กับตัวเมียนานเกินไป ตัวเมียอาจจะตัดสินใจกำจัด หรือทำร้ายตัวผู้ได้ หลังจากนั้น 16-18 วันหากผสมติด เราจะได้ลูกแฮมสเตอร์สีชมพูอยู่ในกรง

การเลือกซื้อหนู

ควรเลือกซื้อแฮมสเตอร์ในช่วงเวลาเย็น ๆ เพราะแฮมสเตอร์จะนอนในเวลากลางวันจะงัวเงีย ทำให้ดูยาก เวลาป่วยหรือไม แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาตอนเย็น มันจะคึกคักทำให้ดราเลือกได้ง่ายกว่า และเปรียบเทียบได้ง่ายขึ้นระหว่างตัวที่ซึม เพราะป่วยและตัวที่ไม่ป่วย

เลี้ยงหลายตัวได้หรือไม่

อาจจะเลี้ยงแฮมสเตอร์มากกว่า 1 ตัวในกรงเดียวกันได้ แต่ขึ้ยอยู่กับพันธุ์ของแฮมสเตอร์ด้วยถ้าเป็นแฮสเตอร์แคระแล้วหล่ะก็ มันเป็นสัตว์สังคมพอสมควรสามารถจะเลี้ยงด้วยกันได้หากเลี้ยงไว้ด้วยกันตั้งแต่เล็ก มักไม่ค่อยมีปัญหาทะเลาะกันแต่ไม่ควรเลี้ยงแฮมสเตอร์ต่างสายพันธุ์ไว้ด้วยกัน เพราะนิสัยจะแตต่างกันจะทำให้มัเครียดและอาจจะกัดกันจนตายได้ หรือเกิดปัญหาจาการผสมข้ามพันธุ์

อย่าใส่ถุงกระดาษกลับบ้าน ถ้าต้องการเดินทางนาน ๆ

เวลาที่เราซื้อแล้ว ร้านขายสัตว์เลี้ยงอาจะเอาแฮมสเตอร์ใส่กล่องหรือถุงกระดาษนำกลับบ้่าน แต่ถ้าเราต้องใช้เวลาเดินทางนานแฮมสเตอร์อาจจะแทะทะลุถุงกระดาษออกมาและหลบหนีได้ เราจะขอให้ผู้ขายเปลื่ยนจากถุงกระดาษมาใส่ภาชนะพลาสติกแทน

ควรจะเลือกแฮมสเตอร์ที่สุขภาพดี

แฮมสเตอร์ควรจะสะอาด ขนสะอาด ไม่มีอุจจาระเปื้อนหรือเหม็นผิดปรกติ และไม่ผอมผิดปรกติไม่ซึมไม่มีบาทแผลทั้งตัวและนิ้วเท้าหูต้องสะอาดท้งด้านในและด้านน
ก ตาต้องสดใสและสะอาด

ควรจะเลือกแฮมสเตอร์ที่อายุระหว่าง 4-7 สัปดาห์

เพราะเชื่องง่ายถ้าเราเลี้ยงตั้งแต่เล็ก ๆ เพศไหนก็ได้ นิสัยไม่แตกต่างกันมาก


อ้างอิง http://www.oknation.net/blog/HAMTER2009/2009/06/25/entry-2http://www.oknation.net/blog/HAMTER2009/2009/06/25/entry-2

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ประวัติฟุตบอลไทย ประวัติฟุตบอลโลก

ประวัติฟุตบอลไทย ประวัติฟุตบอลโลก

ฟุตบอล

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ประวัติฟุตบอลและกติกา ทั้ง ประวัติฟุตบอลไทย ประวัติฟุตบอลโลก มีความเป็นมาอย่างไร อ่าน ประวัติฟุตบอลและกติกาการเล่นฟุตบอล กัน   
          นับได้ว่า ฟุตบอล เป็นกีฬาที่มีคนสนใจอยู่ทั่วมุมโลก เห็นได้จากเวลาที่มีการแข่งขันรายการใหญ่อย่างฟุตบอลโลก หรือฟุตบอลยูโร ก็จะมีบริษัทต่าง ๆ ผลิตสินค้าเกี่ยวกับการแข่งขันออกมาขายตอบสนองความต้องการของแฟนบอลในตลาดเสมอ เช่น แก้วฟุตบอลโลก เสื้อแข่ง เป็นต้น จึงเป็นหลักฐานชี้ชัดว่า กีฬาชนิดนี้ ได้รับความนิยมไปทั่วโลกจริง ๆ โดยเฉพาะประเทศไทย ที่ประชาชนสนใจกีฬาฟุตบอลเป็นอันดับ 1 อยู่แล้ว และวันนี้เรามี ประวัติฟุตบอลและกติกา ทั้ง ประวัติฟุตบอลไทย ประวัติฟุตบอลโลก เพื่อทำให้ผู้อ่านเกิดอรรถรสในการรับชมการแข่งขันยิ่งขึ้น
 
 ประวัติฟุตบอลโลก
          จุดเริ่มต้นของกีฬาฟุตบอล ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่ากำเนิดมาจากที่ใดกันแน่ เพราะแต่ละชาติต่างออกมายืนยันว่าประเทศตนเองเป็นประเทศต้นกำเนิด เช่น อิตาลี กับ ฝรั่งเศส ก็มีการเล่น ซูเลอ หรือ จิโอโค เดล คาซิโอ ซึ่งมีกติกาคล้ายกับฟุตบอล เป็นต้น
 
          อย่างไรก็ตาม จุดเริ่มต้นของฟุตบอลที่มีหลักฐานอย่างเป็นทางการ เริ่มตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1863 (พ.ศ. 2406) ที่ประเทศอังกฤษ มีการจัดตั้งสมาคมฟุตบอลอังกฤษในปีนั้น และเริ่มมีการแข่งขันฟุตบอลลีกเป็นครั้งแรก ใน ค.ศ. 1888 (พ.ศ. 2431) และเริ่มมีการแข่งขันระหว่างประเทศครั้งแรกในปี ค.ศ. 1889 (พ.ศ. 2432)
 
          ในปี ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) เริ่มก่อตั้งสมาพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่าขึ้น และมีการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกใน ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) ที่ประเทศอุรุกวัย
 
กีฬาฟุตบอลในประเทศไทย

          สำหรับกีฬาฟุตบอลในประเทศไทย เริ่มเข้ามาในยุคพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยมีเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีนำเข้ามา จากการไปเรียนที่ต่างประเทศ ซึ่งใน พ.ศ. 2443 มีการแข่งขันฟุตบอลเป็นครั้งแรกระหว่างทีมชุดบางกอก กับชุดกรมศึกษาธิการ ที่สนามหลวง ปรากฎว่าเสมอกัน 2-2
 
          ต่อมาในยุคสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงสนใจกีฬาฟุตบอลอย่างมาก มีทีมฟุตบอลส่วนพระองค์ คือ ทีมเสือป่า และมีการเผยแพร่ข่าวสาร การเล่น เกี่ยวกับฟุตบอลอย่างแพร่หลาย นอกจากนี้ สมาคมฟุตบอลแห่งสยาม ถูกก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2459 อีกด้วย
 
ฟุตบอล

สนามแข่งขันฟุตบอล

          สนามฟุตบอล ไม่ได้มีการกำหนดขนาดไว้แบบตรง ๆ เนื่องจากในพื้นที่แต่ละสนาม อาจมีพื้นที่ไม่เท่ากัน แต่ได้มีการกำหนดด้านยาว กว้างประมาณ 100-130 หลา ส่วนด้านกว้าง กว้างประมาณ 50-100 หลา โดยแบ่งเขตแดนออกเป็น 2 ฝั่ง อย่างละเท่า ๆ กัน มี ประตูขนาดกว้าง 8 หลา สูง 8 ฟุต มีเขตโทษ ซึ่งนับห่างจากโกล ห่าง 18 หลา ส่วนพื้นสนามฟุตบอล ใช้หญ้าแท้หรือหญ้าเทียมก็ได้
 
ลูกฟุตบอล

          ลูกฟุตบอลมีลักษณะเป็นทรงกลม ขนาดเส้นรอบวงไม่เกิน 27-28 นิ้ว และหนัก 400-450 กรัม
 
จำนวนผู้เล่นฟุตบอล 

          มีจำนวนฝั่งละ 11 คน โดยที่เป็นผู้รักษาประตู 1 คน มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ฝั่งตรงข้ามยิงประตูได้
 
วิธีการเล่นฟุตบอล

          ผู้เล่นจะใช้เท้าเล่นเป็นหลัก โดยสามารถใช้อวัยวะส่วนอื่นที่ไม่ใช่แขนและมือ ในการเล่นได้ด้วย โดยมีเป้าหมายคือ การทำประตูฝ่ายตรงข้ามให้ได้
 
X
Ads by SavePass 1.2
ฟุตบอล

กติกาการเล่นฟุตบอล

           เวลาในการแข่งขัน การแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 ครึ่ง ครึ่งละ 45 นาที โดยทั้ง 2 ฝั่งมีหน้าที่ยิงประตูฝั่งตรงข้ามให้ได้มากกว่า ทั้งนี้ หากเสมอกันในการแข่งขันฟุตบอลรายการแพ้คัดออก จะต่อเวลาเพิ่มอีกครึ่งละ 15 นาที รวม 2 ครึ่ง 30 นาทีด้วยกัน และถ้าหากยังตัดสินผู้ชนะไม่ได้ ก็จะดวลจุดโทษตัดสินฝั่งละ 5 ลูก ซึ่งถ้าหากตัดสินไม่ได้อีก ก็จะยิงทีละ 1 ต่อ 1 คือ หากใครยิงพลาด และอีกฝ่ายยิงได้ ก็เกมจบทันที อย่างไรก็ตาม เมื่อยิงครบ 11 คนแล้วตัดสินผู้ชนะไม่ได้ ก็จะวนกลับมายิงใหม่ที่คนแรก ไปเรื่อย ๆ
 
           การผิดกติกา ก็มี การที่ไม่ใช่ผู้รักษาประตูแล้วใช้มือเล่น หรือ การพยายามขัดขวางการเล่นของฝั่งตรงข้าม เช่น ชน กระแทก ผู้เล่นที่มีบอล ก็คือว่าเป็นการฟาล์ว และฝ่ายที่ถูกทำฟาล์ว ก็จะได้ลูกตั้งเตะ แต่ถ้าฝ่ายบุกถูกทำฟาล์วในเขตโทษของฝ่ายรับ ก็จะเป็นลูกจุดโทษ ที่ฝ่ายบุกจะได้โอกาสยิงแบบ 1 ต่อ 1 กับผู้รักษาประตูฝ่ายรับ
 
           กรณีที่ฟุตบอลออกข้าง ฝ่ายที่ไม่ได้ทำให้ออกข้างจะเป็นฝ่ายได้ทุ่ม ส่วนกรณีบอลออกหลัง ถ้าเป็นฝ่ายเจ้าของแดนทำออกหลังเอง ฝ่ายที่เดินหน้าบุก จะได้เตะมุมเข้ามา แต่ถ้าเป็นฝ่ายบุกที่ทำออก จะเป็นลูกตั้งเตะจากประตู
 
           ใบเหลือง-ใบแดง จะแจกก็ต่อเมื่อมีผู้เล่นที่ทำผิดกติกา ในลักษณะที่รุนแรง หรือ การถ่วงเวลา ผู้ตัดสินก็จะให้ใบเหลืองแก่คนที่ผิดกติกา ส่วนใบแดง ผู้ตัดสินจะให้ก็ต่อเมื่อ มีการทำฟาล์วที่รุนแรงมาก เช่น ทำให้ได้รับบาดเจ็บหนัก หรือ เล่นอันตรายอย่างการเปิดปุ่มสตั๊ดไปที่ขาของฝ่ายตรงข้าม เป็นต้น นอกจากนี้ การได้ใบแดง จะมีอีกกรณีหนึ่งคือ การทำฟาล์วแบบไม่รุนแรง แต่ฟาล์วขณะที่ฝั่งตรงข้ามกำลังจะทำประตูได้ ก็ได้รับใบแดงเช่นกัน
 
           การล้ำหน้า คือ การจ่ายบอลไปยังผู้เล่นที่ยืนอยู่สูงกว่าผู้เล่นฝั่งตรงข้ามในลำดับรองสุดท้าย
 
การคิดคะแนนการเล่นฟุตบอล

          นับจากจำนวนลูกฟุตบอลที่ผ่านเส้นประตูเข้าไปอย่างเต็มใบ ภายในเวลาที่กำหนดในการแข่งขัน (90 นาที)ฃ

อ้างอิง http://hilight.kapook.com/view/72210http://hilight.kapook.com/view/72210

ประวัติและบรรพบุรุษของแมว

ประวัติและบรรพบุรุษของแมว
ประวัติและบรรพบุรุษของแมว
                สำหรับแมวนั้นกว่าจะเป็นแมวทุกวันนี้มีความเป็นที่ยาวนานมาก  และมีการเลี้ยงแมวที่หลายพันปีมาแล้วไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่นิยมไปทุกที่  ไม่ว่าจะเลี้ยงไว้เพื่อสาเหตุใดนั้น  แมวก็ยังเป็นสัตว์ที่แสนน่ารัก  น่าเอ็นดู  ในสายตาหลายๆคนนั้นเอง  แมวอาจจะเริ่มต้นด้วยการนิยมเลี้ยงจากชนชั้นสูง  ไม่ว่าจะเป็นในหรือว่าต่างประเทศเองก็ตาม แล้วเพรากระจายไปทุกชนชั้นในปัจจุบัน
                มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่าแมวมีบรรพบุรุษเกิดขึ้นเมื่อ 50 ล้านปีก่อน  เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและกินเนื้อเป็นอาหาร  เป็นบรรพบุรุษเดียวกับพวกสุนัขหรือว่าอีเห็นนั้นเอง  ซึ่งนักวิทยาศาสตร์มีความเชื่อว่าสัตว์นั้นก็คือ “ไมอะคิช ” (Miacis) เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนต้นไม้ มีลำตัวและหางยาวคล้ายแมวซึ่งได้สูญพันธุ์ไปแล้ว  ซึ่งได้มีการวิวัฒนาการใน  10 ล้านปีต่อมามีสัตว์อีกชนิดที่คล้ายแมวก็คือ  Dinistis  มีความใกล้เคียงกันมาก มีความใกล้เคียงกับ เสือไซบีเรียนด้วย  และต่อมาก็กลายเป็น สามารถหากินได้ทั้งต้นไม้และพื้นดิน  มีลักษณะคล้ายกับแมวป่าที่มีขนาดใหญ่กว่าแมวบ้านในปัจจุบัน  ฟันมีขนาดใหญ่เท่าสุนัข  ซึ่งเกิดจากวิวัฒนาการมากว่า 1 ล้านปีจาก Dinistis  มีฟันเหลือสุนัขและเสือ  ปัจจุบันนั้นมีลักษณะที่แมวป่านั้นยังมีให้เห็นจะอาศัยอยู่ในป่า  และยังมีสายพันธุ์ที่ นำมาเลี้ยงในบ้านก็คือแมวป่าสายเสือ หรือ แมวป่า ocelots หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า pygmy leopard สามารถพบได้ในแถบ อเมริกากลาง อเมริกาใต้ และ เม็กซิโก เจ้าแมวป่านี้มันมีรูปร่างเหมือนแมวบ้านทั่วๆไปทุกอย่าง ต่างกันที่ผิวหนังที่เป็นลานคล้ายกับ เสือจากัวร์ และ เสือดาว  และหน้ายาวกว่า กระหม่อนก็จะแบน  โหนกไม่สูงมาก  สามารถที่จะเปลี่ยนเป็นลวดลายและสีได้หลากหลาย  มีรูปร่าง เพรียว  หน้าแหลม  ตาคม คล้ายเสือโดยเฉพาะเวลาเดิน
                แมวที่มีสายพันธุ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกมีข้อสันนิฐานว่าเป็น  สายพันธุ์จากแมวไทยที่หลงเหลืออยู่  แต่เดิมนั้นมีทั้งหมด สามสายพันธุ์คือ  แมวอบิสซีเนีย  แมวอียิปต์  และแมวไทย  ซึ่งทั้งสองสายพันธุ์ได้หายสาบสูญไปแล้ว สำหรับแมวที่อินเดียนั้นจะมีช่วงความยาวของลำตัวที่ยาวมาก 60 เชนติเมตร – 2 ฟุต  สำหรับแมวที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้ 36 ชนิด  ตามที่ระบุและหลักฐานนั้นแมวได้อยู่ร่วมกับมนุษย์เมื่อประมาณ 2 หมื่นปีมาแล้ว  และมนุษย์นำมาเลี้ยงเป็นแมวบ้านได้ประมาณ 4 พันกว่าปีนี่เอง
                ย้อนรอยไปประมาณ 4 พันปีก่อนในยุคของอียิปต์โบราณ  ของชาวไอยคุปต์โบราณ   ในหุบเขาไนล์ ในสมัยนั้นแมวก็ยังเป็นแมวป่าไม่มีแมวบ้าน  ผู้คนแถวนั้นมีความเจริญก้าวหน้าทางเกษตรกรรมเป็นอย่างมาก  ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงสัตว์ต่างๆ ม้า พะ แกะ โค  และมีการทำไร่นาขนาดใหญ่  เมื่อถึงฤดูกับเกี่ยวจะมีเก็บไว้ในยุงฉางไว้จำนวนมาก  แต่ก็มีศัตรูพืชที่สำคัญนั้นก็คือหนู  ที่คอยมันกัดกินพืชผลที่เก็บไว้เสียหายหมดมินำซ้ำยังนำพาเชื้อโรคต่างๆ  อย่างเช่น กาฬโรค และอื่นๆ  ทำให้เกิดปัญหาเป็นอย่างมากไม่มีวิธีใดที่จะเข้ามาแก้ไขได้เลย  เมื่อนั้นเองแมวป่าในช่วงนั้นก็ได้เข้ามาใกล้ชิดกับมนุษย์มากขึ้น  แมวได้มาช่วยกำจังหนูที่เป็นปัญหาสำคัญในตอนนั้น  และผู้คนก็ได้เห็นความสำคัญของแมวที่ได้กำจัดหนู  เนื่องจากแมวมีการปรับสภาพได้ดีจึงมาอยู่ร่วมกับมนุษย์  และมนุษย์เองมีการให้อาหารกับแมว  แมวจึงไม่ต้องหาอาหารอยู่ในป่าและรู้สึกว่าปลอดภัยจากการถูกล่าในป่าด้วย  และในเวลาต่อมาก็มีการเลี้ยงแมวเพิ่มมากขึ้น  จนกลายเป็นแมวบ้าน  มีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปและนิสัยก็เปลี่ยนด้วยเช่นกัน  จะมีความคุ้นเคยกับคนมากขึ้น  มีการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย  ไม่ว่าจะเป็นขนสีของขน  และอื่นๆ
                จนในที่สุดชาวไอยคุปต์ก็ได้นำแมวเป็นเทพเจ้า  และได้มีการจัดฉลองงานเทพเจ้าแมว  เรียกว่า พาชต์  โดยทำในโบสถ์  มีทั้งภายวาดแกะสลักรูปปั้นของเทพเจ้าแมวประดิษฐานอยู่บนแท่น  ตามรูปลักษณะนั้นเทพเจ้าจะเป็นรูปร่างกายเป็นผู้หญิงแต่ที่หัวจะเป็นแมว  เรียกว่า  จันทราเทพี  เป็นผู้ที่นำแสงสว่างมาให้กับมวลมนุษย์  บางตำลาบอกว่าเป็น  “เทวีบัสเตด”  เป็นเทพเจ้าแห่งความรัก  เมื่อแมวตายมีการทำมัมมี่ไว้เหมือนคน  ที่สำคัญได้ค้นพบซากแมวที่ห่อเป็นมัมมี่ไว้จำนวนมาก  บ่งบอกถึงความเคราพรแมวเป็นอย่างยิ่ง
                ในยุคนั้นมีการออกกฎหมายต่างๆมากมายเกี่ยวกับแมวไว้  อย่างเช่น  กำหนดโทษสำหรับผู้ที่ฆ่าแมวต้องมีโทษ  ห้ามนำแมวออกนอกประเทศหากนำออกต้องนำกลับมาด้วย  ถ้าแมวตายในครอบครัวจะต้องไว้ทุกข์ด้วยการโกนคิ้วและให้ทำมัมมี่เหมือนคน 
                สำหรับการเผยแพร่ไปยังประเทศอื่นๆ  นั้นมีหลายข้อสันนิฐานด้วย  เนื่องจากมีกฎหมายว่าห้ามออกนอกประเทศ  มีบางส่วนบอกว่ามีการเลี้ยงไว้ไว้เพื่อจับหนูที่เรือขนส่งสิ้นค้า  หรือว่ามีการลับลอบไปยังประเทศอื่น  และทำให้แมวมีการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ  ทั่วโลกด้วยการแพร่พันธุ์ที่ง่ายจึงทำให้มีแมวจำนวนมากขึ้น  ซึ่งในตอนนั้นเองได้ให้กับชาวโรมันเป้นกลุ่มแรกและได้มีการกระจายไปยังที่ต่างๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  และในยุคกลางมีการฆ่าแมวขึ้นเป็นจำนวนมาก  เนื่องจากมี่ความเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์ที่ไม่ดี  แม่มดจำแลงกลายมา  เป็นแมวปีศาจบ้าง  เพราะว่าแม่หากินตอนกลางคืนจึงมีความเชื่อมโยงกับเวทมนต์  จึงทำให้แมวลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ  และได้นำไปแทบเอเชีย  ซึ่งทางประเทศไทยเอง  บาหลี  หิมาลัย เป็นต้น
                สำหรับแมวไทยนั้นไม่มีผู้ใดทราบเลยว่ามาได้อย่างไรเพียงสันนิฐานว่าแมวนั้นได้มากับเรือขนส่งสินค้ามายังประเทศไทย  ซึ่งเดิมนั้นแมวของประเทศไทยเลี้ยงไว้เพื่อป้องกันขโมยมากกว่าการจับหนู และมีการเลี้ยงไว้เฉพาะขุนนางและชนชั้นสูง  และมีลักษณะที่คล้ายกับแมวอียิปต์มาก  ซึ่งมีความคิดเห็นว่าเป็นแมวที่รับมาโยตรงผ่านทางเรือ

อ้างอิง http://www.nupet.org/แมว/162-ประวัติและบรรพบุรุษของแมว.htmlhttp://www.nupet.org/แมว/162-ประวัติและบรรพบุรุษของแมว.html

ประวัติสัตว์โลก

ประวัติสัตว์โลก

ประวัติหมาป่า



สวัสดีครับ คุณผู้อ่านทุกท่านวันนี้ผมจะมาเขียนเรื่องประวัติหมาป่า ซึ่งเป็นเรื่องแรกใน blog ของผมหากผิดพลาดประการใดก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วย 
                               


หมาป่า หรือ หมาป่าสีเทา นับได้ว่าเป็นหมาป่าที่ตัวใหญ่ที่สุดในตระกูลหมาป่าด้วยกันเลยครับ เพศผู้น้ำหนักจะเฉลี่ย 43-45กิโลกรัม(95-99 ปอนด์) ส่วน เพศเมียน้ำหนักเฉลี่ย 36-38.5กิโลกรัม(79-85 ปอนด์)เมื่อโตเต็มที่จะมีความยาวถึงตั้ง เมตร มันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หน้าตาคล้ายสุนัข มีหางใหญ่เป็นพวงหน้าอกจะแคบ ขายาว อุ้งเท้าใหญ่ เล็บทื่อ ทำให้เดินบนพื้นที่ลื่นได้ดี และมีหลอดเลือดพิเศษทำให้เลือดไม่แข็งตัวสามารถเดินบนพื้นหิมะได้ดี นอกจากนี้ระหว่างนิ้วเท้าก็มีต่อมกลิ่นทิ้งร่อยรอยให้หมาป่าตัวอื่นตามกลิ่นเจอ มีสัตว์ร่วมตระกูลคือหมาจิ้งจอก หมาใน ไคโยตี ไฮยีน่าและดิงโก หมาป่าจัดอยู่ในสัตว์ประเภทกินเนื้อที่มีนิสัยค่อนข้างดุร้าย ปราดเปรียว เฉลียวฉลาด มีการออกล่าเป็นทีม มีความอดทนรวมทั้งมีความกล้าหาญและความสามารถในการต่อสู้อย่างดีเยี่ยม หมาป่าอาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจายในแถบทวีปยุโรป อเมริกาเหนือ เอเซีย และ แอฟริกาเหนือ ในอดีตมีถึง 32สายพันธุ์ แต่ปัจจุบันหมาป่ากลับถูกไล่ล่าและลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วคงเหลืออยู่เพียงแค่ 4 สายพันธุ์คือ หมาป่าเทาหมาป่าแดง หมาป่าไซบีเรียนและหมาป่าขนคอยาว



ลักษณะทั่วไปของหมาป่า                                                                                                                                           
ความยาว 
เฉลี่ย 4.5-6 ฟุต   
                                                                                                                                                                  
ความสูง  
เฉลี่ย26-32 นิ้ว     
                                                                                                                                                       
น้ำหนัก
ตัวเมีย 27-36 กิโลกรัม

ตัวผู้     31-50 กิโลกรัม         

                                                                                                                                                
จำนวนตัวต่อครอก  
4-6 ตัว                                 
                                                                                                                            
น้ำหนักแรกเกิด       
0.45 กิโลกรัม                                      
                                                                                                               
อาหาร 
กวาง กวางมูส ควายป่าไบซัน นก ตัววีเบอร์                                                                                                                                                                                                                                                                                                                         
ระยะเวลาตั้งท้อง
63 วัน

ฤดูผสมพันธ์
กุมภาพันธ์-มีนาคม



 


พฤติกรรมและลักษณะการล่าของหมาป่า

หมาป่าออกล่าเหยื่อแต่ละครั้งจะไปเป็นฝูง ภายในฝูงจะเป็นตัวโตเต็มวัย แต่ละตัวสามารถล่าสัตว์ขนาดไม่โตมากนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปกติแล้วจะออกล่าเหยื่อในตอนกลางวัน โดยเฉพาะตอนเช้าและตอนบ่าย แต่ก็มีบางครั้งที่ออกล่าเหยื่อในคืนเดือนหงาย หมาในมียุทธวิธีในการล่าเหยื่อ แบบใหญ่ ๆ คือ 
1. การออกเดินล่าเป็นฝูง ฝูงหมาป่าจะเดินเรียงตามกันเป็นแถวเรียงหนึ่ง เสาะหาเหยื่อโดยการดมกลิ่น ถ้าพบเห็นจะร่วมมือก้นเข้าไล่ล่าทันที ส่วนมากจะเป็นเหยื่อที่หากินตามลำพัง 
2. การดักซุ่มอยู่ตามป่า ถ้าฝูงหมาป่าพบเหยื่อหากินอยู่เป็นฝูง จะแยกฝูงออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งไปดักซุ่มอยู่ในป่า อีกส่วนหนึ่งจะเข้าไปรบกวนฝูงสัตว์ให้เหยื่อบางตัวตกใจ และวิ่งเตลิดออกจากฝูงเข้าไปหาหมาป่า อีกส่วนที่ดักรออยู่แล้วจึงลงมือฆ่าเหยื่อ 
เหยื่อที่มีขนาดใหญ่จะถูกฝูงหมาป่าล้อมไว้ทุก ๆ ด้าน ทำให้พะว้าพะวังในการป้องกันตัวเอง หมาป่าจะโจมตีเหยื่อโดยเข้าทางด้านหลังและจะกัดบริเวณสะโพกทำให้เหยื่ออ่อนแรงก่อนแล้วจึงเข้ากัดบริเวณท้อง ก่อนที่จะเจาะกินอวัยวะภายใน หมาป่าสามารถฆ่าเหยื่อที่มีน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ได้ภายใน นาทีเท่านั้น จึงมีประสิทธิภาพในการล่าสูงมาก สามารถทำอันตรายต่อกระทิง หมี หรือเสือได้ 
หมาป่าผสมพันธุ์กันตลอดทั้งปี ตัวเมียมีระยะตั้งท้องนานประมาณ สัปดาห์ ปกติจะตกลูกในช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน ตกลูกครั้งละ ตัว ก่อนหน้านั้นตัวเมียจะหาที่ที่เป็นโพรงใต้ดิน ซอกหินหรือเพิงหินเพื่อเป็นที่ดูแลลูกอ่อนที่จะเกิดใหม่ ในขณะเลี้ยงดูลูกอ่อนถ้าถูกรบกวนโดยมนุษย์หรือศัตรูจะย้ายหาที่ใหม่ที่ปอดภัยทันที เมื่ออายุได้ประมาณ เดือน จะเริ่มออกจากโพรง พออายุ เดือน จะเริ่มตามฝูงออกล่าเหยื่อ และเมื่ออายุ เดือน จึงจะเริ่มล่าสัตว์ขนาดใหญ่ได้ 



สีเขียวคือ ที่อยู่ของหมาป่าในปัจจุบัน
สีแดงคือ ที่อยู่ของหมาป่าในอดีต

และก็จบแล้วครับสำหรับประวัติหมาป่า ส่วนคราวหน้ารอพบกับผมได้เลยกับเรื่อง หมาจิ้งจอก วันนี้ก็ขอสวัสดีคุณผู้อ่านอีกรอบแล้วก็ลาจากเลยหละ ครับ ขอบคุณครับ

อ้างอิง http://animalcutehistory.blogspot.com/2012/10/blog-post.htmlhttp://animalcutehistory.blogspot.com/2012/10/blog-post.html

ความหมาย ของควาย

ความหมาย ของควาย

ควาย หรือ กระบือ หรือ buffaloes เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ เป็นสัตว์เลือดอุ่น เลี้ยงลูกด้วยนม ทีมีอยู่บนโลกใบนี้มาไม่น้อยกว่า 150 ล้านปี  เริ่มจากการเป็นควายป่า ทีดุร้าย แล้วค่อยๆกลายมาเป็นควายบ้าน ทีใจดี แสนเชืองใจดีและคนได้นำมาชุบเลี้ยงเพื่อใช้แรงงาน  มีบทบาทสำคัญต่อเกษตรกร เมือพูดถึง ชาวไร่ชาวนา  หลายๆคนก็จะนึกถึงภาพควายตามไปด้วยควาย   เป็นดั่งมือขวา ของชาวไร่ชาวนา ก็ ว่าได้ เพราะควายคือ หัวแรงสำคัญ ของพวกเขา
ควาย คือคำไทยแท้ทีเข้าใจกันและเรียกกันทัวไป คนไทยรู้จักและคุ้นเคยกับ"ควาย"มานานพอๆกับรุ้จักชาวนาและการทำนาปลูกข้าว
ควาย หรือกระบือ ทีมีให้เห็น และเลี้ยงกันแถวบ้านเรานั้น คือ  กระบือบ้านเอเชีย(The Asia Domestic Buffalo )หรือ(The Water Buffalo) ซึ่งแบ่งได้ 2  ประเภท ดังนี้
 
 
ควายปลัก (swamp buffalo)  มีชื่อทางวิทยาศาตร์ ว่า" Bubalus " ซึ่งจัดเป็นควายเลี้ยงในกลุ่ม ควายเอเชีย"Asia buffalo" หรือที่ชาวโลกเรียกกันว่า  Water buffalo ซึ่งจัดเป็นสัตว์เลือดอุ่นทีเลี้ยงลูกด้วยนม ตระกูลเดียวกับโค 
ความหมาย ของควาย
ความหมาย ของควาย
กระบือปลัก หรือควายปลัก ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่ใช้แรงงานในไร่นา มีการเลี้ยงกระจายอยู่เป็นวงกว้าง ตั้งแต่ประเทศจีนตะวันออกเฉียงใต้ ขึนไปถึงแม่แถบแม่น้ำ Yangste แผ่ไปทางตะวันออกถึงเวียดนาม ลาวไทย  เขมร พม่า  อัสสัม  เนปาบตอนเหนือ และศรีลังกา ทางใต้แผ่ไปถึงมาเลเซีย อินโดเนเซีย และฟิลิบปิน กระบือปลักกลุ่มนี้ได้ถูกนำไปเลี้ยงบ้างใน ออสเตรเลีย  โอเชียเนีย บราซิล  เซเนกัล และในอินเดีย บางส่วนแบรัฐ มัธารฐ
 
ควาย น้ำ (River Buffalo) 
กระบือชนิดนี้เป็นกระบือพันธ์นม ชอบน้ำ สะอาด ไม่ชอบลงโคลน 
เป็นกระบือที่ได้รับการคัดเลือกปรับปรุงพันธ์ในประเทศอินเดีย และปากีสถาน เพือเป็นกระบือพันธ์นม  ซี่งมีอยุ่หลายสายพันธ์  ซึง จะพบได้ในประเทศอินเดียว ปากีสถาน อิยิป และในยุโรปตอนใต้
ความหมาย ของควาย
ความหมาย ของควาย



อ้างอิง http://buffzaradio.com/article/7/what-is-buffalo#.VNIVVvnnN3shttp://buffzaradio.com/article/7/what-is-buffalo#.VNIVVvnnN3s