
สำหรับแมวนั้นกว่าจะเป็นแมวทุกวันนี้มีความเป็นที่ยาวนานมาก และมีการเลี้ยงแมวที่หลายพันปีมาแล้วไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่นิยมไปทุกที่ ไม่ว่าจะเลี้ยงไว้เพื่อสาเหตุใดนั้น แมวก็ยังเป็นสัตว์ที่แสนน่ารัก น่าเอ็นดู ในสายตาหลายๆคนนั้นเอง แมวอาจจะเริ่มต้นด้วยการนิยมเลี้ยงจากชนชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นในหรือว่าต่างประเทศเองก็ตาม แล้วเพรากระจายไปทุกชนชั้นในปัจจุบัน
มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่าแมวมีบรรพบุรุษเกิดขึ้นเมื่อ 50 ล้านปีก่อน เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและกินเนื้อเป็นอาหาร เป็นบรรพบุรุษเดียวกับพวกสุนัขหรือว่าอีเห็นนั้นเอง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์มีความเชื่อว่าสัตว์นั้นก็คือ “ไมอะคิช ” (Miacis) เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนต้นไม้ มีลำตัวและหางยาวคล้ายแมวซึ่งได้สูญพันธุ์ไปแล้ว ซึ่งได้มีการวิวัฒนาการใน 10 ล้านปีต่อมามีสัตว์อีกชนิดที่คล้ายแมวก็คือ Dinistis มีความใกล้เคียงกันมาก มีความใกล้เคียงกับ เสือไซบีเรียนด้วย และต่อมาก็กลายเป็น สามารถหากินได้ทั้งต้นไม้และพื้นดิน มีลักษณะคล้ายกับแมวป่าที่มีขนาดใหญ่กว่าแมวบ้านในปัจจุบัน ฟันมีขนาดใหญ่เท่าสุนัข ซึ่งเกิดจากวิวัฒนาการมากว่า 1 ล้านปีจาก Dinistis มีฟันเหลือสุนัขและเสือ ปัจจุบันนั้นมีลักษณะที่แมวป่านั้นยังมีให้เห็นจะอาศัยอยู่ในป่า และยังมีสายพันธุ์ที่ นำมาเลี้ยงในบ้านก็คือแมวป่าสายเสือ หรือ แมวป่า ocelots หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า pygmy leopard สามารถพบได้ในแถบ อเมริกากลาง อเมริกาใต้ และ เม็กซิโก เจ้าแมวป่านี้มันมีรูปร่างเหมือนแมวบ้านทั่วๆไปทุกอย่าง ต่างกันที่ผิวหนังที่เป็นลานคล้ายกับ เสือจากัวร์ และ เสือดาว และหน้ายาวกว่า กระหม่อนก็จะแบน โหนกไม่สูงมาก สามารถที่จะเปลี่ยนเป็นลวดลายและสีได้หลากหลาย มีรูปร่าง เพรียว หน้าแหลม ตาคม คล้ายเสือโดยเฉพาะเวลาเดิน
แมวที่มีสายพันธุ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกมีข้อสันนิฐานว่าเป็น สายพันธุ์จากแมวไทยที่หลงเหลืออยู่ แต่เดิมนั้นมีทั้งหมด สามสายพันธุ์คือ แมวอบิสซีเนีย แมวอียิปต์ และแมวไทย ซึ่งทั้งสองสายพันธุ์ได้หายสาบสูญไปแล้ว สำหรับแมวที่อินเดียนั้นจะมีช่วงความยาวของลำตัวที่ยาวมาก 60 เชนติเมตร – 2 ฟุต สำหรับแมวที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้ 36 ชนิด ตามที่ระบุและหลักฐานนั้นแมวได้อยู่ร่วมกับมนุษย์เมื่อประมาณ 2 หมื่นปีมาแล้ว และมนุษย์นำมาเลี้ยงเป็นแมวบ้านได้ประมาณ 4 พันกว่าปีนี่เอง
ย้อนรอยไปประมาณ 4 พันปีก่อนในยุคของอียิปต์โบราณ ของชาวไอยคุปต์โบราณ ในหุบเขาไนล์ ในสมัยนั้นแมวก็ยังเป็นแมวป่าไม่มีแมวบ้าน ผู้คนแถวนั้นมีความเจริญก้าวหน้าทางเกษตรกรรมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงสัตว์ต่างๆ ม้า พะ แกะ โค และมีการทำไร่นาขนาดใหญ่ เมื่อถึงฤดูกับเกี่ยวจะมีเก็บไว้ในยุงฉางไว้จำนวนมาก แต่ก็มีศัตรูพืชที่สำคัญนั้นก็คือหนู ที่คอยมันกัดกินพืชผลที่เก็บไว้เสียหายหมดมินำซ้ำยังนำพาเชื้อโรคต่างๆ อย่างเช่น กาฬโรค และอื่นๆ ทำให้เกิดปัญหาเป็นอย่างมากไม่มีวิธีใดที่จะเข้ามาแก้ไขได้เลย เมื่อนั้นเองแมวป่าในช่วงนั้นก็ได้เข้ามาใกล้ชิดกับมนุษย์มากขึ้น แมวได้มาช่วยกำจังหนูที่เป็นปัญหาสำคัญในตอนนั้น และผู้คนก็ได้เห็นความสำคัญของแมวที่ได้กำจัดหนู เนื่องจากแมวมีการปรับสภาพได้ดีจึงมาอยู่ร่วมกับมนุษย์ และมนุษย์เองมีการให้อาหารกับแมว แมวจึงไม่ต้องหาอาหารอยู่ในป่าและรู้สึกว่าปลอดภัยจากการถูกล่าในป่าด้วย และในเวลาต่อมาก็มีการเลี้ยงแมวเพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นแมวบ้าน มีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปและนิสัยก็เปลี่ยนด้วยเช่นกัน จะมีความคุ้นเคยกับคนมากขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นขนสีของขน และอื่นๆ
จนในที่สุดชาวไอยคุปต์ก็ได้นำแมวเป็นเทพเจ้า และได้มีการจัดฉลองงานเทพเจ้าแมว เรียกว่า พาชต์ โดยทำในโบสถ์ มีทั้งภายวาดแกะสลักรูปปั้นของเทพเจ้าแมวประดิษฐานอยู่บนแท่น ตามรูปลักษณะนั้นเทพเจ้าจะเป็นรูปร่างกายเป็นผู้หญิงแต่ที่หัวจะเป็นแมว เรียกว่า จันทราเทพี เป็นผู้ที่นำแสงสว่างมาให้กับมวลมนุษย์ บางตำลาบอกว่าเป็น “เทวีบัสเตด” เป็นเทพเจ้าแห่งความรัก เมื่อแมวตายมีการทำมัมมี่ไว้เหมือนคน ที่สำคัญได้ค้นพบซากแมวที่ห่อเป็นมัมมี่ไว้จำนวนมาก บ่งบอกถึงความเคราพรแมวเป็นอย่างยิ่ง
ในยุคนั้นมีการออกกฎหมายต่างๆมากมายเกี่ยวกับแมวไว้ อย่างเช่น กำหนดโทษสำหรับผู้ที่ฆ่าแมวต้องมีโทษ ห้ามนำแมวออกนอกประเทศหากนำออกต้องนำกลับมาด้วย ถ้าแมวตายในครอบครัวจะต้องไว้ทุกข์ด้วยการโกนคิ้วและให้ทำมัมมี่เหมือนคน
สำหรับการเผยแพร่ไปยังประเทศอื่นๆ นั้นมีหลายข้อสันนิฐานด้วย เนื่องจากมีกฎหมายว่าห้ามออกนอกประเทศ มีบางส่วนบอกว่ามีการเลี้ยงไว้ไว้เพื่อจับหนูที่เรือขนส่งสิ้นค้า หรือว่ามีการลับลอบไปยังประเทศอื่น และทำให้แมวมีการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ทั่วโลกด้วยการแพร่พันธุ์ที่ง่ายจึงทำให้มีแมวจำนวนมากขึ้น ซึ่งในตอนนั้นเองได้ให้กับชาวโรมันเป้นกลุ่มแรกและได้มีการกระจายไปยังที่ต่างๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในยุคกลางมีการฆ่าแมวขึ้นเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมี่ความเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์ที่ไม่ดี แม่มดจำแลงกลายมา เป็นแมวปีศาจบ้าง เพราะว่าแม่หากินตอนกลางคืนจึงมีความเชื่อมโยงกับเวทมนต์ จึงทำให้แมวลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ และได้นำไปแทบเอเชีย ซึ่งทางประเทศไทยเอง บาหลี หิมาลัย เป็นต้น
สำหรับแมวไทยนั้นไม่มีผู้ใดทราบเลยว่ามาได้อย่างไรเพียงสันนิฐานว่าแมวนั้นได้มากับเรือขนส่งสินค้ามายังประเทศไทย ซึ่งเดิมนั้นแมวของประเทศไทยเลี้ยงไว้เพื่อป้องกันขโมยมากกว่าการจับหนู และมีการเลี้ยงไว้เฉพาะขุนนางและชนชั้นสูง และมีลักษณะที่คล้ายกับแมวอียิปต์มาก ซึ่งมีความคิดเห็นว่าเป็นแมวที่รับมาโยตรงผ่านทางเรือ
อ้างอิง http://www.nupet.org/แมว/162-ประวัติและบรรพบุรุษของแมว.htmlhttp://www.nupet.org/แมว/162-ประวัติและบรรพบุรุษของแมว.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น