วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558

ประวัติหูฟัง (headphone history)


=== ประวัติหูฟัง (headphone history) ===

ประวัติหูฟัง
สวัสดีครับ เจอกันอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปเสียนาน (ไม่ค่อยได้โพส) วันนี้เรามารู้จักประวัติ
ของหูฟังกันดีกว่าครับ โดยประวัตินี้ผมได้ใช้ประสบการณ์ส่วนตัวรวมทั้งข้อมูลเท่าที่พอจะหาได้
(ข้อมูลหายากมากทั้งเวบไทยเวบเทศ) และได้ลองเล่าให้เพื่อนๆ หลายๆ คนได้ฟัง เขาก็เห็นว่า
น่าจะมีการนำมาโพส เพราะเป็นประโยชน์แก่ผู้เล่น

แต่ขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าข้อมูลหายากจริงๆ ข้อมูลบางส่วนอาจจะผิดพลาดไปจากที่หลายๆ
ท่านได้รู้มา ถ้ามีตรงไหนไม่ตรงตามความเป็นจริงรีบท้วงเลยนะครับ ผมจะได้แก้ไขให้ถูกต้อง
(ผมถือคติว่า ไม่มีใครรู้อะไรทั้งหมด เราอาจรู้ในสิ่งที่เขาไม่รู้ เขาอาจจะรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ ^_^)

เริ่มเลยแล้วกันครับ

1. กำเนิด Full size
เท้าความในสมัยที่มีการเริ่มประดิษฐ์อุปกรณ์ต่างๆ เอดิสันได้ประดิษฐ์สิ่งของมากมาย หนึ่งในนั้น
ก็คือเครื่องบันทึกเสียง และเครื่องเล่น อุปกรณ์ต่างๆ ได้ถูกพัฒนาไปอย่างมากมาย กลายเป็น
เครื่องเล่นตามบ้าน มีการสร้างลำโพงตั้งโต๊ะ ยุคสมัยจริงๆ ของหูฟังน่าจะเป็นช่วงก่อนสงคราม
โลกครั้งที่ 1 เมื่อเริ่มมีการฟังเพลงตามบ้านกันมากขึ้น แต่มีปัญหาว่าต้องเปิดดังทำให้รบกวน
คนอื่น จึงได้มีคนคิดเอาดอกลำโพงของลำโพงตั้งโต๊ะมาทำให้เล็กลง พอดีกับหู (แต่ในสมัย
นั้นก็ยังถือว่าใหญ่มาก หนักเป็นกิโลเลยทีเดียว) ใส่กรวยครอบและใส่ที่คาดเพื่อไม่ต้องใช้มือจับ
และไม่ให้หลุดง่ายจึงเป็นที่มาของ "หูฟัง Full size" (ในตอนแรกยังไม่มีฟองน้ำ เรียกว่า
Full size แบบเปิด มีแต่ไดรเวอร์แปะกับหูโดยตรงเท่านั้น ตอนหลังจึงมีฟองน้ำให้ใส่สบาย
ไม่ล้า และช่วยกันเสียงภายนอก เราเรียกกันว่า Full size แบบปิด)

กลุ่มประเทศที่เริ่มทำ Full size ก่อนน่าจะเป็นยุโรป เพราะวิทยาการขณะนั้นก้าวล้ำไปกว่า
อเมริกาและเอเชียมากนัก ตอนหลังอเมริกาจึงไล่มาทันและแซงไปในที่สุด ฉะนั้นถ้าว่ากันตาม
แหล่งกำเนิด Full size ดีๆ มักจะผลิตจากยุโรปแทบทั้งนั้น (เพราะเขาทำมาก่อนน่าจะมี
ความเชี่ยวชาญมากกว่า) ตัวอย่างเช่น Sennheiser Ergo เป็นต้น แต่ไม่ได้หมายความว่า
ที่อื่นทำไม่ดี แต่ถ้าว่ากันถึงส่วนใหญ่ หูฟัง Full size ดีๆ มักมีแหล่งผลิตจากยุโรป

2. กำเนิด Ear bud
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงคราม ญี่ปุ่นต้องพัฒนาตัวเองอย่างหนักเพื่อเอา
ชีวิตรอด ได้มีการปฏิวัติการพัฒนาเลยทีเดียว หนึ่งในนั้นก็คื่อเครื่องเล่นเทปแบบพกพา โดย
เจ้าของโซนี่เป็นผู้คิดค้น พอคิดค้นได้ก็ต้องมีหูฟังมาใช้ร่วมกัน ตอนแรกก็นำเอา Full size
มาใช้ แต่ด้วยน้ำหนักที่มาก ดูเทอะทะ จึงได้ทำการลดขนาดให้เล็กลง แต่ยังใช้ที่คาดแบบ
ที่คาดผมอยู่ (เป็นต้นกำเนิดของหูฟังกึ่ง Full size ในปัจจุบัน) แต่ขนาดนั้นก็ยังใหญ่เกินไป
ถ้าจะพกพา จึงได้มีการลดขนาดให้ไดร์เวอร์เล็ก และทำให้ใส่ในรูหูได้พอดี (กว่าจะออกแบบ
มาได้โซนี่ ได้ลองผิดลองถูกตั้งนาน) เป็นที่มาของหูฟัง "Ear bud"

คนที่ผลิต Ear bud เป็นคนแรกก็คือโซนี่ อาจจะมีคำถามว่าแล้วยุโรป กับอเมริกาทำไมไม่
ทำตาม เหตุผลเกิดจาก 2 ส่วน
- หนึ่งคือเขาค่อนข้างดูถูกคนญี่ปุ่นคิดว่าไม่ได้เรื่อง (สมัยนั้นไทยเราก็ยังดูถูกเขาอยู่เลย ถ้าเป็น
ของญี่ปุ่นกระจอก ต้องเป็นของอเมริกาถึงจะดี)
- สองเสียงที่ได้แย่กว่า Full size มาก เขาจึงไม่คิดจะทำกัน ปล่อยให้ญี่ปุ่นพัฒนาไปตั้งไกล
แล้วจึงค่อยเริ่มทำตาม
ฉะนั้นถ้าว่ากันตามแหล่งกำเนิดแล้ว หูฟัง Ear bud ดีๆ ส่วนใหญ่จึงมาจากญี่ปุ่น (เพราะเขา
ทำมาก่อน เป็นต้นแบบ) ตัวอย่างเช่น Sony 484 , Aiwa HP-V99 เป็นต้น

3. กำเนิด In ear
ยุคสมัยเพลงเบ่งบานในอเมริกา (ประมาณปี 1950-1980) ได้มีการทำเพลงออกมามากมาย
มีเพลงออกมาหลากหลายสไตล์ อเมริกาก้าวล้ำเรื่องเพลงไปมากกว่ายุโรปและประเทศอื่นๆ
หลายเท่าตัว การบันทึกเสียงก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ถ้าคนที่เคยอยู่ในห้องซ้อมหรือห้องอัด
จะรู้ดีว่าเวลาเล่นเสียงมันค่อนข้างดัง ถึงดังมาก ทำให้เล่นผิดจังหวะ มือกลองที่ต้องคุมจังหวะ
ส่วนใหญ่จึงต้องใส่ Full size แบบปิดเพื่อกันเสียง และก็ได้ฟังจังหวะที่ถูกต้อง แต่ก็ยังมี
ปัญหาอยู่ที่ความใหญ่ใส่ไม่สะดวก นักร้องหรือ นักกีตาร์ จะใส่ไม่ถนัด จึงมีการคิดค้นหูฟัง
ขนาดเล็กที่สามารถกันเสียงได้ และได้ยินเสียงที่ชัดเจน จึงเป็นต้นกำเนิดของหูฟัง "In ear"
เมื่อนักฟังเพลงได้เห็นนักดนตรีใช้จึงเอาแบบอย่างบ้าง In ear จึงได้เริ่มมีการผลิตมาเพื่อ
ฟังเพลงมากขึ้น

แต่ด้วยการผลิตที่ค่อนข้างซับซ้อน เพราะมีพื้นที่ขนาดเล็ก ไดร์เวอร์ก็ต้องเล็กตาม และการที่จะ
ทำให้เสียงดีได้นั้นไม่ง่าย ราคาจึงค่อนข้างแพงกว่าหูฟัง 2 กลุ่มที่ผ่านมาแล้วอย่างมาก
อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาหนักอกแก่ผู้พัฒนา In ear อย่างมากก็คือเสียงที่ได้ค่อนข้างแคบ
เพราะตอนแรกตั้งใจจะทำเพื่อใช้ในสตูดิโอเท่านั้น (ต้องการแค่กันเสียง กับให้เสียงที่ชัดเจน)
ไม่ได้ทำมาเพื่อใช้ในการฟังเพลง จึงต้องการแก้ปัญหากันตรงนี้

ด้วยกายภาพของ In ear
มีพื้นที่น้อยมาก การจะทำให้เสียงกว้างจึงเป็นงานหินทีเดียว พยายามหาจุกโฟมหลายๆ แบบ
เพื่อให้เสียงโปร่งขึ้นไม่อึดอัด มีการแถมจุกโฟมหลายๆ แบบเพื่อให้เลือกใช้ตามความต้องการ
ในที่สุดก็ได้มาจบตรงการใส่ไดร์เวอร์เพิ่มเพื่อให้เสียง และช่วงเสียงกว้างขึ้น แต่ก็ทำให้เกิด
ปัญหาใหม่ขึ้นมา เพราะพื้นที่มีค่อนข้างน้อย และระยะทางถึงแก้วหูค่อนข้างสั้น ทำให้เสียง
ของแต่ละไดร์เวอร์ตีกันเอง (ภาษานักเล่นเรียกว่า Cross over) จึงต้องมีการทำภาคแก้ไข
Cross over ออกมาด้วยสำหรับหูฟัง In ear ที่มีตั้งแต่ 2 ไดร์เวอร์เป็นต้นไป นั่นเป็น
เหตุผลทำให้หูฟัง In ear ที่มีหลายๆ ไดร์เวอร์ ก็แพงกว่าแบบธรรมดาหลายเท่าตัวเช่นเดียวกัน

ได้มีการนำ In ear ไปใช้ในงานคอนเสิร์ตต่างๆ ด้วย (เสียงในคอนเสิร์ตค่อนข้างดัง และฟังไม่
ค่อยจะรู้เรื่อง) นักร้อง นักดนตรีจึงต้องใช้ In ear ช่วย แต่ก็เกิดปัญหาในเรื่องของการใส่แล้ว
หลุดบ่อยบ้าง ยังไม่สามารถเก็บเสียงได้ดีที่สุดบ้าง นักร้อง นักดนตรีจึงได้สั่งทำ In ear ที่มี
ขนาดพอดีกับหูตัวเองออกมา เป็นการเฉพาะ เราเรียกกันว่า In ear custom (คล้ายๆ กับ
นักกีตาร์เก่งๆ ก็ได้มีการสั่งให้บริษัทกีตาร์ผลิตกีตาร์ในแบบที่ตัวเองต้องการออกมา เรียกว่า
Guitar custom เมื่อมีคนสนใจจึงเริ่มทำออกมาขาย เรียกว่า Guitar signature) เมื่อคน
ไปดูคอนเสิร์ตเห็นก็อยากจะใช้บ้างจึงเริ่มมีการทำขาย แต่ราคาก็ต้องแพงกว่าปกติถึงหลายเท่า
(กีตาร์ก็เหมือนกันถ้าเป็น signature แล้วจะแพงกว่ารุ่นคล้ายๆ กัน 4-5 เท่าตัวทีเดียว)
แต่สำหรับ นักดนตรี นักร้องราคาก็ไม่ได้ถือว่าแพงมากมายอะไร เพราะเขาถือว่าเป็นอุปกรณ์
(ไมค์ตัวละ 500,000 เขาก็ซื้อใช้มาแล้ว) แต่สำหรับผู้ใช้ทั่วไปยังอยู่ในกลุ่มแคบๆ เพราะมี
ราคาค่อนข้างแพง และไม่สามารถใช้ร่วมกันคนอื่นได้

คนที่เริ่มผลิต In ear ก็คืออเมริกา ฉะนั้น In ear ดีๆ จึงมาจากอเมริกาเกือบทั้งหมด (เพราะ
เขาทำมาก่อน เป็นต้นแบบ) เช่น Shure , UE , UM เป็นต้น

-เพิ่มเติม แม้ว่าหูฟังปัจจุบันเกือบทั้งหมดจะทำในที่จีนแล้วก็ตาม แต่บริษัทที่เข้าไปลงทุนก็
เป็นบริษัทฝรั่ง กับญี่ปุ่น คนจีนก็เริ่มก๊อปและพัฒนาหูฟังในแบบของตัวเอง โดยนำตัวดีๆ ของ
แต่ละบริษัทมาเป็นต้นแบบ จึงเริ่มมีหูฟังจีนดีๆ ที่ถูกกล่าวถึงกันมากขึ้น เช่น Yuin แต่ก็ต้องใช้
ระยะเวลาสักระยะกว่าจะตามทัน ในความเห็นส่วนตัวของผม คาดว่าในอนาคตจีนจะตามทัน
และแซงได้ในที่สุด จีนจะมีหูฟังดีๆ ราคาไม่แพงออกมาให้เราใช้อีกโขทีเดียว

จากที่เขียนมาตั้งยืดยาวจะเห็นได้ว่า การจะบอกว่า Full size , Ear bud , In ear อะไร
ดีกว่ากันคงจะเป็นเรื่องยาก เพราะแต่ละตัวมีจุดกำเนิดไม่เหมือนกัน อยู่ที่เรามากกว่าว่าจะใช้ทำ
อะไร (เหมือนกับรถ มีทั้งรถเก๋ง รถกระบะ รถมอไซค์ มันก็อยู่กับสถานการณ์ว่าจะต้องใช้อะไร
ไปซื้อของใกล้ๆ ใช้มอไซค์ ใช้รถยนต์เปลืองน้ำมัน หาที่จอดยาก ไปเที่ยวมีของด้วยใช้กระบะ
เข้าเมือง ติดต่อธุระใช้รถเก๋ง) ถ้าเดินทางผมใช้ In ear ถ้าอยู่บ้านทำงานเดินไปเดินมาใช้
Ear bud ถ้าต้องการเสียงคุณภาพกันสุดๆ ผมไม่มี Full size ผมก็ฟังเครื่องเสียงเอาครับ

- เพิ่มเติม 2 อาจจะมีคำถามขึ้นมาว่าทำไม Full size กับ Ear bud จึงไม่มีหลายไดร์เวอร์
ทั้งๆ ที่มีพื้นที่มากกว่า In ear ตัว Full size และ Ear bud เคยมีรุ่น 2 ไดร์เวอร์ออกมาครับ
แต่เนื่องจากปัญหา Cross Over และราคาที่แพงขึ้นไปมาก จึงทำให้ไม่เป็นที่นิยม และเสียง
ก็ไม่ได้หนี 1 ไดร์เวอร์ไปมากนัก การคิดว่ามีหลายไดร์เวอร์ต้องเสียงดีไม่เป็นการถูกนัก
ลำโพงไฮเอนด์บางตัวก็มีเพียงไดร์เวอร์เดียวก็ทำให้เสียงดีกว่าหลายไดร์เวอร์ได้ อยู่ที่การออก
แบบครับ (ตอนที่ผลิตลำโพงกันครั้งแรกก็มีแค่ไดร์เวอร์เดียวเท่านั้น)

อ้างอิง http://www.taf.in.th/showthread.php?t=43268http://www.taf.in.th/showthread.php?t=43268

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น